วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559


★กติกาการสั่งสินค้า FANSITE/FANART ★
@BABYJUN_NS


**การสั่งสินค้าจากบ้าน FANSITE/FANART มีความเสี่ยงสูงที่มาสเตอร์จะไม่ส่งของ กรุณาอ่านรายละเอียดการสั่งซื้อให้ครบถ้วนและตัดสินใจให้ดีก่อนการสั่งซื้อ**


♡} การสั่งสินค้าจากบ้าน FANSITE/ FANART มีความเสี่ยงสูงที่มาสเตอร์จะไม่ส่งของ ทางร้านเป็นเพียง"คนกลาง"ที่รับสั่งของจากมาสเตอร์ที่เกาหลี ดำเนินการสั่งซื้อสิค้าให้ลูกค้า ทางเดียวที่ทำได้คือ"รอ" แต่ทางร้านคอยตามทวงสินค้าให้จากมาสเตอร์ค่ะ

♡}  ทางร้าน"ไม่สามารถคืนเงินเต็มจำนวนได้"หากทางร้านโอนค้าสินค้าไปแล้ว "มาสเตอร์ไม่ส่งของ" คืนได้แต่เงินค่าส่วนต่างและค่าจัดส่งในประเทศและมีการหักค่าธรรมเนียมการโอนแต่ละธนาคาร(ถ้ามี)

♡} สินค้า PRE-ORDER ใช้ต้องใช้ระยะเวลาในการผลิต สินค้าบางอย่างอาจจะรอ 1-2 เดือน เป็นระยะเวลาที่มาสเตอร์คลาดเดาไว้ หากมีการคลาดเคลื่อนอาจจะประมาณ 1-2 อาทิตย์ ทางร้านจะคอยอัพเดทสินค้าอยู่เสมอ

♡} หากสินค้ามีการคลาดเคลื่อนจากตัวอย่างที่ทางบ้าน FANSITE/FANART ได้ทำการออกแบบไว้ หรือเสียหายชำรุดระหว่างการจัดส่งทั้งจากเกาหลีมาไทยหรือภายในประเทศ ทางร้านไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ไม่สามารถทำการเปลี่ยนให้ได้ เนื่องจากทางร้านเป็นแค่ตัวกลางการสั่งซื้อสินค้า

♡} สินค้าทุกชนิดรวมค่าจัดภาษีที่ต้องเสียภายไว้แล้ว ค่าภาษีเป็นเพียงแค่ทางร้านประเมิณไว้เบื้องต้น แต่หากทางศุลกากรประเมิณภาษีเกินกว่าที่ทางร้านตั้งไว้ ทางร้านจะขอเรียกเก็บภาษีเพิ่มโดยหารภาษีส่วนที่เกินมากับจำนวนคนที่สั่งเพื่อเป็นการทำให้ค่าภาษีของแต่ละคนลดน้อยที่สุด

♡} การส่งสินค้าในประเทศไม่สามารถรอรวมของแล้วส่งพร้อมกันทีเดียวได้ หากสินค้าชิ้นไหนมาก่อนทางร้านจะจัดส่งให้เลย ในกรณีสั่งซื้อสินค้าพร้อมส่ง หากไม่โอนเงิน 3 ครั้งทางร้านจะทำการแบล็คลิสต์ทันที

♡} หากมีข้อสงสัยหรือสอบถามยอดโอนสินค้าให้สอบถามไปยัง Babyjunstore@gmail.com หรือทักทางหน้าร้านได้เลย ทางร้านจะตอบกลับไปภายใน 3-5 วัน

♡} ฟอร์มการสั่งซื้อของทางร้านคือการสั่งจองสินค้า+แจ้งจำนวน และแจ้งโอนทางอีเมล์เท่านั้น ทางร้านไม่มีการอีเมล์แจ้งยอดใดๆทั้งสิ้น หากสงสัยหรือมีปัญหาเรื่องยอดโอนสามารถสอบถามได้ทางอีเมล์และทักมาทางหน้าร้านได้เลย ทางร้านจะรีบทำการตอบกลับให้ เมื่อลูกค้ากรอกฟอร์มแล้วให้แจ้งโอน+ส่งรูปภาพหลักฐานการแจ้งโอน(สลิปโอนเงินธนาคาร)มาทางอีเมล์ Babyjunstore@gmail.com
เรื่อง : "แจ้งโอน_(ชื่อสินค้า)_"
เนื้อเรื่อง :
- ชื่อ-นามสกุล (ให้ตรงกับที่กรอกฟอร์ม)
-จำนวนเงินที่โอน
-ธนาคารที่โอน
-วันที่+เวลา ที่โอน
-แนบรูปสลิปหลักฐานการโอน







วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

เซอร์ไอแซก นิวตัน

(Sir Isaac Newton)

 

                  ไอแซก นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1643 (หรือ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1642 ตามปฏิทินเก่า) ที่วูลส์ธอร์พแมนเนอร์ ท้องถิ่นชนบทแห่งหนึ่งในลินคอล์นเชียร์ ตอนที่นิวตันเกิดนั้นประเทศอังกฤษยังไม่ยอมรับปฏิทินเกรกอเรียน ดังนั้นวันเกิดของเขาจึงบันทึกเอาไว้ว่าเป็นวันที่ 25 ธันวาคม 1642 บิดาของนิวตัน (ชื่อเดียวกัน) ซึ่งเป็นชาวนาผู้มั่งคั่งเสียชีวิตก่อนเขาเกิด 3 เดือน เมื่อแรกเกิดนิวตันตัวเล็กมาก เขาเป็นทารกคลอดก่อนกำหนดที่ไม่มีผู้ใดคาดว่าจะรอดชีวิตได้ มารดาของเขาคือ นางฮานนาห์ อายสคัฟ บอกว่าเอานิวตันใส่ในเหยือกควอร์ทยังได้ (ขนาดประมาณ 1.1 ลิตร) เมื่อนิวตันอายุได้ 3 ขวบ มารดาของเขาแต่งงานใหม่กับสาธุคุณบาร์นาบัส สมิธ และได้ทิ้งนิวตันไว้ให้มาร์เกรี อายส์คัฟ ยายของนิวตันเลี้ยง นิวตันไม่ชอบพ่อเลี้ยง และเป็นอริกับมารดาไปด้วยฐานแต่งงานกับเขา ความรู้สึกนี้ปรากฏในงานเขียนสารภาพบาปที่เขาเขียนเมื่ออายุ 19: “ขอให้พ่อกับแม่สมิธรวมทั้งบ้านของพวกเขาถูกไฟผลาญ”นิวตันเคยหมั้นครั้งหนึ่งในช่วงปลายวัยรุ่น แต่เขาไม่เคยแต่งงานเลย เพราะอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาและการทำงาน
นับแต่อายุ 12 จนถึง 17 นิวตันเข้าเรียนที่คิงส์สกูล แกรนแธม (มีลายเซ็นที่เชื่อว่าเป็นของเขาปรากฏอยู่บนหน้าต่างห้องสมุดโรงเรียนจนถึงทุกวันนี้) ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1659 เขากลับไปบ้านเกิดเมื่อมารดาที่เป็นหม้ายครั้งที่ 2 พยายามบังคับให้เขาเป็นชาวนา แต่เขาเกลียดการทำนา ครูใหญ่ที่คิงส์สกูล เฮนรี สโตกส์ พยายามโน้มน้าวให้มารดาของเขายอมส่งเขากลับมาเรียนให้จบ จากแรงผลักดันในการแก้แค้นครั้งนี้ นิวตันจึงเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนสูงที่สุด
เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1661 นิวตันได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยทรินิตี้ เคมบริดจ์ ในฐานะซิซาร์ (sizar; คือทุนชนิดหนึ่งซึ่งนักศึกษาต้องทำงานเพื่อแลกกับที่พัก อาหาร และค่าธรรมเนียม ในยุคนั้นการเรียนการสอนในวิทยาลัยตั้งอยู่บนพื้นบานแนวคิดของอริสโตเติล แต่นิวตันชอบศึกษาแนวคิดของนักปรัชญายุคใหม่คนอื่นๆ ที่ทันสมัยกว่า เช่น และนักดาราศาสตร เช่น โคเปอร์นิคัส, กาลิเลโอ และเคปเลอร์ เป็นต้น ปี ค.ศ. 1665 เขาค้นพบทฤษฎีบททวินามและเริ่มพัฒนาทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ซึ่งต่อมากลายเป็นแคลคูลัสกณิกนันต์ นิวตันได้รับปริญญาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1665 หลังจากนั้นไม่นาน มหาวิทยาลัยต้องปิดลงชั่วคราวเนื่องจากเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ แม้เมื่อศึกษาในเคมบริดจ์เขาจะไม่มีอะไรโดดเด่นแต่การศึกษาด้วยตนเองที่บ้านในวูลส์ธอร์พตลอดช่วง 2 ปีต่อมาได้สร้างพัฒนาการแก่ทฤษฎีเกี่ยวกับแคลคูลัส ธรรมชาติของแสงสว่าง และกฎแรงโน้มถ่วงของเขาอย่างมาก นิวตันได้ทำการทดลองเกี่ยวกับแสงอาทิตย์อย่างหลากหลายด้วยแท่งแก้วปริซึมและสรุปว่ารังสต่างๆ ของแสงซึ่งนอกจากจะมีสีแตกต่างกันแล้วยังมีภาวะการหักเหต่างกันด้วย การค้นพบที่เป็นการอธิบายว่าเหตุที่ภาพที่เห็นภายในกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้เลนส์แก้วไม่ชัดเจน ก็เนื่องมาจากมุมในการหักเหของลำแสงที่ผ่านแก้วเลนส์แตกต่างกัน ทำให้ระยะโฟกัสต่างกันด้วย จึงเป็นไม่ได้ที่จะได้ภาพที่ชัดด้วยเลนส์แก้ว การค้นพบนี้กลายเป็นพื้นฐานในการพัฒนากล้องโทรทรรศน์แบบกระจกเงาสะท้อนแสงที่สมบูรณ์โดยวิลเลียม เฮอร์เชล และ เอิร์ลแห่งโรส ในเวลาต่อมา ในเวลาเดียวกับการทดลองเรื่องแสงสว่าง นิวตันก็ได้เริ่มงานเกี่ยวกับแนวคิดในเรื่องการโคจรของดาวเคราะห์
ค.ศ. 1667 เขากลับไปเคมบริดจ์อีกครั้งหนึ่งในฐานะภาคีสมาชิกของทรินิตี้ซึ่งมีกฎเกณฑ์อยู่ว่าผู้เป็นภาคีสมาชิกต้องอุทิศตนถือบวช อันเป็นสิ่งที่นิวตันพยายามหลีกเลี่ยงเนื่องจากมุมมองของเขาที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนา โชคดีที่ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนว่าภาคีสมาชิกต้องบวชเมื่อไร จึงอาจเลื่อนไปตลอดกาลก็ได้ แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นในเวลาต่อมาเมื่อนิวตันได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเมธีลูเคเชียนอันทรงเกียรติ ซึ่งไม่อาจหลบเลี่ยงการบวชไปได้อีก ถึงกระนั้นนิวตันก็ยังหาทางหลบหลีกได้โดยอาศัยพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2

 




ในที่สุด Apple ก็ได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงอย่าง iPhone 6 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วพร้อมๆ กับ iPhone 6 Plusที่มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่า โดยในส่วนของ iPhone 6 นั้นถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องของดีไซน์ และ ฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย โดยในวันนี้ ทีมงานเว็บไซต์ Thaimobilecenter ได้มีการสรุปข้อมูลเกี่ยวกับ iPhone 6 มาให้ได้ชมกันว่า สมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นนี้ จะมีสเปคเป็นอย่างไร และ มีฟีเจอร์อะไรเด็ดๆ ให้ได้ใช้งานกันบ้าง

สเปคในเบื้องต้นของ iPhone 6

- ขนาดตัวเครื่อง 138.1x67x6.9 มิลลิเมตร
- น้ำหนักตัวเครื่อง 129 กรัม
- หน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (326ppi)
- เทคโนโลยีหน้าจอ Retina HD Display
- ชิปประมวลผล Apple A8 แบบ 64Bit
- ชิป Apple M8 Motion coprocessor สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ
- กล้องดิจิตอลความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f2.2)
- ไฟแฟลชด้านหลังแบบ True Tone Flash
- กล้องดิจิตอลด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล (f2.2)
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือ Touch ID
- รองรับการใช้งาน Apple Pay
- รองรับการใช้งาน NFC
- ระบบปฏิบัติการ iOS 8

สามารถชมรายละเอียดสเปค iPhone 6 อย่างละเอียด ได้ที่นี่
 

iPhone 6 กับการออกแบบดีไซน์ใหม่ยกเครื่อง



iPhone 6 นั้นมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ล่าสุด โดยมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 138.1x67x6.9 มิลลิเมตร และ มีน้ำหนักเบาเพียง 129 กรัม โดยในส่วนของ iPhone 6 นั้น จะมีขนาดตัวเครื่องที่บางกว่า iPhone 6 Plus เล็กน้อย โดย iPhone 6 นั้นจะมีขนาดอยู่ที่ 6.9 มิลลิเมตร ในขณะที่ iPhone 6 Plus นั้นมีความบางอยู่ที่ 7.1 มิลลิเมตร
 

iPhone 6 หน้าจอใหญ่กว่าเดิม พร้อมเทคโนโลยีล่าสุด Retina HD Display



สำหรับหน้าจอของ iPhone 6 นั้น จะมีความละเอียดอยู่ที่ 1334 x 750 พิกเซล บนขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว และ มาพร้อมกับเทคโนโลยีหน้าจอใหม่ล่าสุดอย่าง Retina HD Display ซึ่งช่วยให้ได้ภาพที่คมชัด และ สว่างมากกว่ารุ่นก่อนหน้ามากพอสมควรเลยทีเดียว

iPhone 6 มาพร้อมกับชิป Apple A8 และ Apple M8



ในส่วนของชิปประมวลผลนั้น iPhone 6 จะมาพร้อมกับชิป Apple A8 สถาปัตยกรรมแบบ 64Bit ที่มีความเร็วมากกว่ารุ่นก่อนหน้า 20% และ สามารถประมวลผลกราฟฟิคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 50% เลยทีเดียว นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับชิป Apple M8 ที่ถูกปรับปรุงใหม่ ซึ่งชิป M8 นั้นจะเป็นชิปสำหรับตรวจจับการเครื่องไหวในรูปแบบต่างๆ ซึ่งถูกพัฒนาให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น
 

กล้องดิจิตอลบน iPhone 6



สำหรับกล้องดิจิตอลบน iPhone 6 นั้นจะมีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ True Tone Flash โดยมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของเซ็นเซอร์ให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังรองรับการถ่ายวีดีโอความละเอียดสูง 1080p แบบ 60fps และยังรวมถึงการถ่ายวีดีโอในโหมด Slo-mo ได้สูงสุดถึง 240fps ส่วนในเรื่องของภาพถ่ายที่ได้นั้น มีการปรับปรุงให้มีความคมชัดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย
 


นอกจากนี้ กล้องดิจิตอลบน iPhone 6 นั้นยังคงมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง Focus Pixel คุณจะสามารถถ่ายภาพได้อย่างรวดเร็ว ด้วยระบบ autofocus ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
 


ส่วนในเรื่องของกล้องดิจิตอลด้านหน้า หรือ กล้อง Facetime บน iPhone 6 นั้น สามารถให้ภาพที่สว่างขึ้นมากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 81% เลยทีเดียว คุณจึงสามารถใช้งาน Facetime ได้อย่างคมชัดมากยิ่งขึ้น
 

ระบบการเชื่อมต่อที่รวดเร็วยิ่งขึ้นบน iPhone 6



สำหรับ iPhone 6 นั้นรองรับการเชื่อมต่อแบบ LTE ที่มีความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิม รวมถึง การเชื่อมต่อ Wi-Fi ผ่าน iPhone 6 นั้นสามารถทำความเร็วได้สูงกว่าเดิมถึง 3 เท่าเลยทีเดียว ทั้งนี้ ในส่วนของความเร็วในการเชื่อมต่อแบบ LTE นั้นจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการเครือข่ายด้วย
 

iPhone 6 ยังคงมาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือ



iPhone 6 นั้นยังคงมาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือ อย่าง Touch ID เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า โดยมีการปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่นการใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่นอื่นๆ นอกเหนือจากทางฝั่งของ Apple
 

iPhone 6 กับฟีเจอร์ใหม่ Apple Pay



สำหรับ iPhone 6 นั้นยังคงมาพร้อมกับชิป NFC ซึ่งสามารถนำมาใช้งานร่วมกับบริการใหม่จาก Apple อย่าง Apple Pay คุณสามารถเก็บข้อมูลบัตรเครดิตของคุณไว้ และ นำไปใช้จ่ายได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย อย่างไรก็ดี บริการดังกล่าวนี้ยังคงเปิดให้ใช้บริการในเฉพาะ สหรัฐฯ และต้องยืนยันตัวตนกับธนาคารก่อนใช้บริการดังกล่าว โดยจะขยายไปยังประเทศอื่นในเร็วๆ นี้
 

iPhone 6 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 8



สำหรับ iPhone 6 นั้นก็จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iOS 8 ที่ทาง Apple ได้ทำการเปิดตัวไปก่อนแล้วในช่วงหลายเดือนก่อน โดยสำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูข้อมูลโดยสรุปของ ระบบปฏิบัติการ iOS 8 ได้โดยการ คลิกที่นี่

iPhone 6 มาพร้อม 3 สีสันให้เลือก



สำหรับ iPhone 6 นั้นจะมาพร้อมกับสีสันให้เลือกทั้งหมด 3 สี เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า คือ สีดำ, สีขาว และ สีทอง และ จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นคือ รุ่น 16GB, 64GB และรุ่น 128GB
 

ราคา และ วันวางจำหน่าย ของ iPhone 6



สำหรับ iPhone 6 นั้นจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในสหรัฐฯ วันที่ 19 กันยายนนี้ โดยมีราคาเร่ิมต้นแบบติดสัญญาที่ 199$ (ประมาณ 6,200 บาท) สำหรับรุ่น 16GB และ 299$ (ประมาณ 9,500 บาท) สำหรับรุ่น 64GB และ 399$ (ประมาณ 12,500 บาท) สำหรับรุ่น 128 GB โดยสำหรับ iPhone 6 นั้นจะไม่มีรุ่น 32GB แล้ว อย่างไรก็ดี สำหรับวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยนั้น ยังไม่ได้ถูกกำหนด รวมถึงราคาด้วย แต่ก็คาดว่า ราคาวางจำหน่ายในไทย จะไม่สูงไปจาก iPhone 5s มากนัก

สำหรับราคาเครื่องแบบไม่ติดสัญญา ของสหรัฐฯ นั้นเริ่มต้นที่ $649 หรือประมาณ 21,000 บาท (สำหรับเครือข่าย T-Mobile) ซึ่งถือว่าราคานั้นไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม ถึงแม้จะยังไม่ใช่ราคาจาก Apple Store US ก็ตาม

โดยในส่วนของราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้น เนื่องจากราคาในสหรัฐฯ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง จึงคาดการณ์ว่า ราคาของ iPhone 6 บน Apple Store Thailand น่าจะเริ่มต้นที่ประมาณ 23,900 บาท ในรุ่น 16GB และ 26,900 บาท สำหรับรุ่น 64GB และ 31,900 บาท สำหรับรุ่น 128GB ส่วนวันวางจำหน่าย ก็คาดว่า น่าจะอยู่ในช่วงเดือน พฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงแค่การ คาดการณ์ ซึ่งเมื่อได้กำหนดการอย่างเป็นทางการมาแล้ว ทีมงานจะรีบอัพเดตให้ทราบกันอีกครั้งอย่างแน่นอนครับ
 

ไอซ์บักเกตแชเลนจ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การท้าด้วยการใช้ถังน้ำแข็งราดตัวเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ เอแอลเอส ไอซ์ บัคเก็ต ชาเลนจ์ (ALS Ice Bucket Challenge) เป็นแคมเปญการกุศลเพื่อสมาคมผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือ เอแอลเอส โดยเป็นการท้าให้ใช้ถังน้ำแข็งราดตัว ถ่ายคลิปโพสลงอินเทอร์เน็ต โดยติดแฮชแท็ก #IceBucketChallenge และท้าคนอื่นต่อไปอีกสามคนหรือมากกว่านั้น หากไม่ทำต้องบริจาค 100 ดอลล่าร์ ให้กับสมาคม แต่โดยทั่วไปผู้รับคำท้าจะทำทั้งสองอย่าง และเป็นกระแสออกไปทั่วโลก[1]
ในประเทศไทย มีการเปลี่ยนเป็นการให้มูลนิธิเพื่อการกุศลใดก็ได้ และใช้ #IceBucketChallengeTH เป็นแฮชแท็กสำหรับกิจกรรมนี้ในประเทศไทย[2]ต่อแคมเปญดังกล่าวได้ขยายวงไปยังผู้มีชื่อเสียงชาวไทยในวงการอื่นๆ อีกเป็นจำนวน
มาก

ทัชมาฮาล

ประวัติ

ทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก[ต้องการอ้างอิง] สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุลผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ เจ้าชายขุร์รัม ชึ่งต่อมาคือสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน พระราชสมภพในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) พระบิดา คือ สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ จักรพรรดิองค์ที่สี่แห่งราชวงศ์โมกุล ตามตำนานกล่าวว่า พระองค์ได้พบกับอรชุมันท์ พานุ เพคุม ธิดาของรัฐมนตรี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 14 พรรษา พระองค์ทรงหลงใหลและหลงรักนาง เจ้าชายขุร์รัมจึงซื้อเพชรด้วยเงิน 10,000 รูปีและบอกแก่พระบิดาของพระองค์ว่าพระองค์มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับบุตรีของรัฐมนตรี พิธีเสกสมรสถูกจัดขึ้นหลังจากนั้น 5 ปี เมื่อพ.ศ. 2155 (ค.ศ. 1612) จากนั้นมาทั้งสองก็มิเคยอยู่ห่างกันอีกเลย
หลังจากที่สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2171 พระองค์มอบความไว้วางใจแก่ อรชุมันท์ พานุ เพคุม และเรียกนางว่า มุมตัซ มาฮาล "อัญมณีแห่งราชวัง" พระมเหสีติดตามพระองค์
แม้แต่ในสนามรบ แนะนำพระองค์ในเรื่องราชการของประเทศ และพระองค์ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระมเหสียิ่งนัก ครั้นในปี พ.ศ. 2174 (ค.ศ. 1631) พระมเหสีมุมตัซสิ้นพระชนม์ หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 การสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีทำให้สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันโศกเศร้าอยู่ถึงสองทศวรรษ ราชสมบัติส่วนใหญ่สูญเสียไปเพื่อการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของทั้งสองพระองค์
พระองค์ถูกกักขังอยู่ถึง 8 ปี จนกระทั่งสวรรคตในปี พ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666) ตามตำนานกล่าวว่าให้วันสุดท้ายของชีวิตพระองค์ใช้เวลาทั้งวันในการจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล และสิ้นพระชนม์ด้วยเศษกระจกในกำมือ พระองค์ถูกฝังในทัชมาฮาล เคียงข้างพระมเหสีซึ่งพระองค์ไม่เคยลืม มีบางคนกล่าวว่าสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน มิได้ประสงค์ที่จะถูกฝังร่วมกับประมเหสี แต่พระองค์มีแผนการที่จะสร้างสุสานอีกแห่งด้วยหินอ่อนสีดำ เพื่อเป็นสุสานของพระองค์ แต่ผู้รู้หลายท่านเชื่อว่าพระองค์ประสงค์ที่จะถูกฝังเคียงข้างพระนางมุมตัซ มาฮาล

ขนาด

ทัชมาฮาลถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคใหม่ ทัชมาฮาลตั้งอยู่ในสวนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองอาครา ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ หลุมศพของพระนางมุมตัซ มาฮาล ซึ่งถูกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและเครื่องประดับจากมิตรประเทศ ได้รับคำรับรองว่าสร้างขึ้นด้วยสัดส่วนที่วิจิตรและงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร สูง 60 เมตร มีผู้สร้างและออกแบบร่วม 20,000 คน การก่อสร้างกินเวลานานถึง 22 ปี ทัชมาฮาลมีเนื้อที่ประมาณ 42 เอเคอร์ เป็นที่ตั้งของมัสยิด มีหออาซาน (หอสูงสำหรับร้องแจ้งเวลาทำนมาซ) และมีสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ นายช่างที่ออกแบบ ชื่อ อุสตาด ไอซา ถูกประหารชีวิตเพื่อมิให้ไปออกแบบสถาปัตยกรรมใด ๆ ที่สวยกว่าได้ ส่วนหัวของทัชมาฮาลมีลักษณะโดมที่เรียกว่าโอเนียนโดม

เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก

ทัชมาฮาลได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2526 โดยมีเหตุผลตามเกณฑ์การพิจารณาคือ
  • (i) - เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ 
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ หรือ เทพีเสรีภาพ เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Statue of Liberty แต่เดิมชื่อว่า Liberty Enlightening the World ตั้งอยู่ ณ เกาะลิเบอร์ตี อ่าวนิวยอร์ก ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429
เทพีเสรีภาพ เป็นประติมากรรมโลหะสำริด รูปเทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูคบเพลิง มือซ้ายถือถือแผ่นจารึกคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ และมีอักษรสลักว่า "JULY IV MDCCLXXVI" หรือ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319(ค.ศ. 1776) เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ที่ขาด แสดงถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส สวมมงกุฎ 7 แฉกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลทั้งเจ็ด หรือทวีปทั้งเจ็ด ภายในมีบันไดวนรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น เกิดขึ้นตามแนวคิดของเอดูอาร์ด เดอ ลาบูลาเย นักประวัติศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกา และ ฝรั่งเศส ระหว่างการปฏิวัติอเมริกัน ออกแบบโดยเฟรเดรีค โอกุสต์ บาร์โทลดี โครงร่างเหล็กออกแบบโดย เออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค และกุสตาฟ ไอเฟล ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีส ส่วนฐานอนุสาวรีย์ สร้างโดยสหรัฐอเมริกา จารึกโคลงซอนเนต์ของกวีชาวอเมริกัน เอมมา ลาซารัส ซึ่งมีเนื้อหาต้อนรับผู้อพยพที่เข้าอยู่มาในอเมริกา
สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะว่า พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพ จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศส จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ
ในการขนส่งจากฝรั่งเศส มายังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความใหญ่โตของอนุสาวรีย์ ทำให้ต้องแยกส่วนแล้วมาประกอบที่อเมริกา มีชิ้นส่วนรวมทั้งหมด 350 ชิ้น และนำมาประกอบขึ้นใหม่โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน แต่ส่วนฐาน พบว่ามีการสร้างเสร็จ ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2429 โดยหมุดตัวสุดท้ายถูกประกอบเสร็จ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429
ปี พ.ศ. 2527 องค์การยูเนสโก ประกาศให้อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เป็นมรดกของโลก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมไม่น้อยกว่า 800,000 คน
ตามปกติแล้ว ประชาชนสามารถขึ้นไปชมวิวบนส่วนหัวมงกุฎของเทพีได้ แต่หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทางการได้สั่งปิดอนุสาวรีย์ดังกล่าว ล่าสุด มีการเปิดให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปที่เกาะ เพื่อชมความสวยงามของอนุสาวรีย์จากด้านล่างได้ แต่ยังตัวอนุสาวรีย์ยังปิดอยู่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่ส่วนฐานของอนุสาวรีย์ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย

ประวัติ

โครงการได้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) โดยประชาชนชาวฝรั่งเศสซึ่งประสงค์จะมอบของขวัญให้แก่ประชาชนชาวสหรัฐฯเพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนความทรงจำรำลึกถึงสัมพันธภาพอันดีระหว่างสหรัฐฯและฝรั่งเศสในระหว่างสงครามประกาศอิสรภาพในสหรัฐอเมริกา
คณะกรรมการคณะหนึ่งมีนาย เอดดูวาด เดอลาบูลาเย เป็นประธานประติมากรหนุ่มชื่อ เฟรเดอริก ออกุสเต บาร์ทอลดิ (Frederic Bartholdi) ซึ่งเป็นกรรมการผู้หนึ่งได้เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อศึกษาความต้องการในการก่อสร้างอนุสรณ์สถานและบาร์ทอลดิเกิดความคิดที่จะสร้างของขวัญเป็นอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพขึ้นโดยคณะกรรมการฟรองโกอเมริกันจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ฝ่ายอเมริกันรับผิดชอบส่วนที่เป็นรากฐาน และได้วางแผนจะขอรับบริจาคเงินค่าใช้จ่ายจากเอกชนประมาณสองแสนห้าหมื่นอเมริกันดอลลาร์ (คิดเป็นเงินไทยประมาณห้าล้านบาทในขณะนั้น)
บาร์ทอลดิ เริ่มงานก่อสร้างอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2417 (ค.ศ.1874) โดยใช้มารดาของเขาเป็นนางแบบ เริ่มแรกทำรูปจำลองด้วยปูนปลาสเตอร์สูง 9 ฟุต 1 รูป และสูง 36 ฟุต อีก 1 รูป ในที่สุดก็สามารถกำหนดสัดส่วนของเทพีแห่งเสรีภาพได้ แล้วก่อสร้างขึ้นด้วยโลหะผสมทองแดงกับเหล็กเพื่อความแข็งแกร่ง การวางแผนดำเนินการโครงการนี้ อยู่ในความอำนวยการของนายกุสตาฟไอเฟล ซึ่งเป็นวิศวกรชาวฝรั่งเศสผู้ก่อสร้างหอไอเฟล ในการนี้ต้องตีแผ่นทองแดงมากกว่า 300 แผ่น น้ำหนักรวม 90 ตัน
ภาพจาก Harper's Weekly ฉบับวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2428 (ค.ศ. 1885)
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายอเมริกันก็เริ่มงานสร้างฐานไปพร้อมกันโดยได้เลือกสถานที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์นี้ที่เกาะเบดโล ซึ่งชื่อเกาะนี้ตั้งตามชื่อของเจ้าของดั้งเดิมคือ ไอแซค เบดโล และได้เริ่มงานสร้างรากฐานเมื่อ พ.ศ. 2424 (ค.ศ. 1881)
เมื่องานก่อสร้างเริ่มขึ้นแล้ว โครงการต้องหยุดชะงักไประยะหนึ่ง เพราะขาดเงินสนับสนุน แต่ต่อมา นายโจเซฟ ฟูลิตเซอร์ บรรณาธิการผู้มีชื่อเสียงของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กเวิลด์ ได้รณรงค์หาทุนให้โดยขอรับบริจาคจากมหาชนใน พ.ศ. 2428 (ค.ศ.1885) ทำให้งานก่อสร้างรากฐานสำเร็จลุล่วงในปลายปีเดียวกันนั้น
ส่วนของอนุสรณ์สถานที่เป็นรูปเทพีได้เดินทางมาถึงนครนิวยอร์กเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2428 (ค.ศ.1885) โดยจัดเป็นชิ้นๆบรรจุในหีบใหญ่ถึง 214 หีบ เมื่อมาถึงแล้วจึงนำชิ้นส่วนมาต่อกันและติดตั้งเป็นรูปร่างที่บนป้อมเก่า อยู่ทางปลายสุดของเกาะลิเบอร์ตี้ Liberty เดิมชื่อเกาะเบดโล Bedloe รูปปั้นนี้หนัก 254 ตัน ออกแบบเป็นรูปสตรีสวมเสื้อผ้าคลุมร่างตั้งแต่ไหล่ลงมาจรดปลายเท้า ท่วงท่าสง่างาม ศีรษะสวมมงกุฎ มือขวาถือคบเพลิงชูเหนือศีรษะ มือซ้ายถือหนังสือคำประกาศอิสรภาพตั้งแต่เวลาเย็นจนถึงกลางคืน ไฟจากคบเพลิงของเทพีแห่งเสรีภาพนี้จะเปล่งแสงสว่างผู้ที่ไปเยือนเพียงยืนอยู่ที่ฐานของอนุสรณ์สถานก็จะรู้สึกได้ถึงความใหญ่โตมโหฬารของอนุสาวรีย์แห่งนี้
ที่อนุสรณ์สถานมีทางเดินจากป้อมเข้าสู่ส่วนที่เป็นแท่นฐาน และที่ทางเข้ามีแผ่นบรอนซ์จารึกข้อความเป็นคำประพันธ์ซอนเนท แต่งโดย เอมมา ลาซารัส เมื่อ พ.ศ. 2416 (ค.ศ.1883)
เมื่อเดินเข้าไปในตัวเทพี จะมีบันไดเลื่อนพาสูงขึ้นไป 10 ชั้นแรก หรือบันได 167 ขั้น ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยขึ้นบันไดเวียน 12 ชั้น รวม 168 ขั้น ซึ่งจะขึ้นไปได้จนถึงศีรษะและมงกุฎของเทพีแห่งเสรีภาพ มีลานซึ่งจุคนได้ครั้งละ 20-30 คน จากลานนี้สามารถชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามกว้างไกลของอ่าวนิวยอร์กตลอดไปทางเหนือ ซึ่งจะมองเห็นเมืองแมนฮัตตันและเขตธุรกิจการเงินและทิวทัศน์ทางใต้จะเห็นสะพานแคนเวอราซาโนด้วย
เทพีแห่งเสรีภาพนี้สูง 93.3 เมตร (306 ฟุต 8 นิ้ว) นับจากส่วนล่างถึงยอดคบไฟ เฉพาะตัวเทพีสูง 46.4 เมตร (152 ฟุต 2 นิ้ว) แขนขวายาว 12.8 เมตร (42 ฟุต) มือยาว 5.03 เมตร (16 ฟุต 5 นิ้ว) หนังสือในมือซ้ายของเทพีหนา 2 ฟุต ยาว 23 ฟุตครึ่ง จารึกว่า "July 4, 1776" ตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคม 2319 อันเป็นวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ที่ปลายเท้าเทพีมีโซ่หักขาดชำรุด ซึ่งแสดงความหมายของการล้มล้างระบบทรราชลงได้
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 (ค.ศ.1886) ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ได้ประกอบพิธีเปิดอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพ นายบาร์ทอลติ และ เฟอดินัน เดอ เลสเซน ซึ่งเป็นผู้สืบทอดงานจาก นายเอดดูวาร์ด เดอ ลาบูลาเย มาร่วมงานด้วย และในพิธีเปิดครั้งนั้นได้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นคือ ขณะที่วุฒิสมาชิกกำลังอ่านคำปราศัยได้มีการให้สัญญาณเปิดผ้าคลุมออกก่อนกำหนดเวลา มีการยิงปืนใหญ่ ชาวเรือในอ่าวต่างตะโกนกู่ก้อง และฝูงชนที่มาชุมนุมร่วมพิธีเปิดต่างก็โห่ร้องแสดงความยินดีกันอึงคะนึง ขณะที่ผ้าคลุมเทพีเปิดออกเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าวุฒิสมาชิกยังคงอ่านคำปราศัยต่อไป

ข้อมูลจำเพาะ

ภาพมุมสูง
  • บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมบนฐานกว้าง 3 ชั้น
  • สูง 153 ฟุต
  • แขนยาว 42 ฟุต
  • นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต
  • เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว
  • โครงเหล็กแยกเป็นชิ้นส่วนรวม 214 ลัง
  • ส่งจากฝรั่งเศสนำมาต่อเป็นรูปร่างสูง 302 ฟุต (วัดจากปลายคบไฟถึงปลายเท้า)
  • ใช้แผ่นโลหะทองแดงหรือสำริดรวม 32 ตัน
  • ส่วนคบไฟติดตั้งระบบแสงไฟฟ้าขนาด 13,250 วัตต์
  • มีบันไดเวียนไปถึงที่เป็นมงกุฎของเทพีรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น
  • รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 650,000 ดอลลาร์
  • งบบูรณะครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 1981 เพื่อจัดฉลอง 100 ปีเทพีเสรีภาพ
  • งบบูรณะในปี 1986 ใช้ไป 86 ล้านดอลลาร์ จากที่ระดมทุนมาได้ 265 ล้านดอลลาร์

สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (อังกฤษUnited Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) หรือโดยทั่วไปรู้จักกันว่า สหราชอาณาจักร (อังกฤษUnited Kingdom: UK) และ บริเตน (Britain) เป็นรัฐเอกราชตั้งอยู่นอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปภาคพื้นทวีป ประเทศนี้ประกอบด้วยเกาะบริเตนใหญ่ ส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะไอร์แลนด์ และเกาะที่เล็กกว่าจำนวนมาก ไอร์แลนด์เหนือเป็นเพียงส่วนเดียวของสหราชอาณาจักรที่มีพรมแดนทางบกติดต่อกับรัฐอื่น คือ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ นอกเหนือจากนี้แล้ว สหราชอาณาจักรล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตกและเหนือ ทะเลเหนือทางทิศตะวันออก ช่องแคบอังกฤษทางทิศใต้ และทะเลไอร์แลนด์ทางทิศตะวันตก
รูปแบบการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยมีระบบรัฐสภา เมืองหลวง คือ กรุงลอนดอน ประกอบด้วยสี่ประเทศ คือ ประเทศอังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ[1] สามประเทศหลังนี้ได้รับการถ่ายโอนการบริหาร โดยมีอำนาจแตกต่างกัน[2][3] ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของประเทศนั้น ๆ คือ เอดินบะระ คาร์ดิฟฟ์และเบลฟาสต์ตามลำดับ ส่วนเกิร์นซีย์ เจอร์ซีย์และเกาะแมนเป็นบริติชคราวน์ดีเพนเดนซี และมิใช่ส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร[4] สหราชอาณาจักรมีดินแดนโพ้นทะเล 14 แห่ง[5] ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งขณะที่รุ่งเรืองที่สุดในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้น ครอบคลุมพื้นดินของโลกเกือบหนึ่งในสี่ และเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อิทธิพลของอังกฤษยังสามารถพบเห็นได้จากความแพร่หลายของภาษา วัฒนธรรมและระบบกฎหมายในอดีตอาณานิคมหลายแห่ง
สหราชอาณาจักรเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 17 ของโลก ตามค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ณ ราคาตลาด และเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 8 ของโลก ตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ สหราชอาณาจักรเป็นประเทศอุตสาหกรรมประเทศแรกในโลก[6] และเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20[7] สหราชอาณาจักรยังถูกกล่าวขานว่าเป็นมหาอำนาจและยังมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ทหาร วิทยาศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศค่อนข้างมากอยู่[8][9] สหราชอาณาจักรได้รับรองว่าเป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีรายจ่ายทางทหารมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก[10]
สหราชอาณาจักรเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินับแต่สมัยประชุมแรกใน พ.ศ. 2489 และยังเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และองค์การก่อนหน้า คือ ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปตั้งแต่ พ.ศ. 2516 นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรยังเป็นสมาชิกเครือจักรภพแห่งชาติ สภายุโรปจี7 จี8 จี20 นาโต องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และองค์การการค้าโลก